สุขศึกษาและพละศึกษา
[การละเล่นพื้นบ้าน] [โรคประจำถิ่น]

แข่งเรือบก

อุปกรณ์ที่ใช้ในการเล่น
+ ไม้กระดาน ๒ แผ่น
+ ยาวประมาณ ๑ วาเศษ พร้อมเชือกที่จะใช้รัดหลังเท้าติดกับไม้
วิธีการเล่น
ผู้เล่นแบ่งเป็นกลุ่ม ๆ ละ ๒-๕ คน โดยจะรัดเท้าทั้ง ๒ ข้าง ไว้กับกระดาน ๒ แผ่น มือจับเอวหรือจับไหล่ของผู้ที่อยู่ข้างหน้า
อาศัยความพร้อมเพรียงจะยกเท้าซ้ายพร้อม ๆ กัน ดันไม้กระดานไปข้างหน้า กลุ่มใดถึงเส้นชัยก่อนถือว่าชนะ
เวลาที่เล่น
ส่วนใหญ่จะเล่นในเทศกาลสงกรานต์
คุณค่า / แนวคิด / สาระที่ได้จากการละเล่นพื้นบ้าน
นอกจากจะเป็นการออกกำลังขาแล้วยังสร้างความสามัคคีในหมู่คณะ สร้างความสนุกสนาน การแข่งเรือบกจะเล่นกันในพื้นที่ ๆ ไม่มีแม่น้ำไหลผ่าน
กลับด้านบน ที่มา : http://pirun.ku.ac.th

โรคคอตีบ

โรคคอตีบ ไม่พบในประเทศไทยมานานกว่า 25 ปีแล้ว คาดว่าน่าจะติดมากับแรงงานประเทศเพื่อนบ้านที่เข้ามารับจ้างในประเทศไทย
มีสาเหตุเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย เป็นโรคติดเชื้อเฉียบพลันในระบบทางเดินหายใจ ทำให้อักเสบมีแผ่นเยื่อเกิดขึ้นในลำคอ ในรายที่อาการรุนแรง
จะมีการตีบตันของทางเดินหายใจ อาจทำให้เสียชีวิตได้ พิษของเชื้อโรคทำอันตรายต่อกล้ามเนื้อหัวใจและเส้นประสาทส่วนปลาย
เชื้อโรคคอตีบจะพบอยู่ในคนเท่านั้น ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย พบได้ในคนทุกช่วงอายุ แต่มักไม่พบในเด็กอ่อนอายุต่ำกว่า 6 เดือน
เนื่องจากเด็กช่วงอายุนี้ได้ภูมิคุ้มกันต้านทานโรคจากแม่ ซึ่งภูมิคุ้มกันนี้จะหมดไปเมื่ออายุประมาณ 6 เดือนถึงแม้อุบัติการณ์ของโรคจะลดลง
แต่อัตราป่วยตายค่อนข้างคงที่คือ ประมาณร้อยละ 10
ระยะฟักตัวของโรคอยู่ระหว่าง 2-5 วัน เชื้อจะอยู่ในลำคอของผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการรักษาได้ประมาณ 2 สัปดาห์
แต่บางครั้งอาจนานถึงหลายเดือน ผู้ที่ได้รับการรักษาเต็มที่เชื้อจะหมดไปภายใน 1 สัปดาห์
อาการ
มีไข้ไม่เกิน 39 องศาเซลเซียส อาจมีอาการหนาวสั่น อ่อนเพลีย เจ็บคอมากทำให้กินได้น้อย หายใจลำบาก หายใจไม่ออก
หายใจเร็ว หอบ คอบวม และไอเสียงดังเหมือนสุนัขเห่า มีแผ่นเยื่อในจมูก ต่อมทอนซิล ลำคอ และกล่องเสียง เสียงแหบลงเรื่อยๆ
และอาจมีเลือดปนในน้ำมูก มีต่อมน้ำเหลืองบริเวณลำคอ บวม โต
การรักษา
ต้องรักษาในโรงพยาบาล เพราะเป็นโรคที่มีอาการรุนแรง การรักษาได้แก่ การให้ยาต้านสารพิษของเชื้อโรค
การให้ยาปฏิชีวนะ และการฉีดวัคซีนโรคคอตีบเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต้านทานต่อโรค
การรักษาประคับประคองตามอาการ เช่น การให้น้ำเกลือและให้สารอาหารทางหลอดเลือดดำ การใช้เครื่องช่วยหายใจ
ซึ่งบางครั้งอาจต้องเจาะคอถ้าแผ่นเยื่อจากโรคเกาะหนามาก จนทางเดินหายใจแคบเกินกว่าจะหายใจเองได้ และการให้ออกซิเจน
การป้องกัน
1. ผู้ใกล้ชิดผู้ป่วย เนื่องจากโรคคอตีบติดต่อกันได้ง่าย ดังนั้นผู้สัมผัสโรคที่ไม่มีภูมิคุ้มกันโรคจะติดเชื้อได้ง่าย
จึงควรได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด โดยทำการเพาะเชื้อจากลำคอและติดตามดูอาการ 7 วัน ในผู้ที่สัมผัสโรคอย่างใกล้ชิดที่ไม่เคย
ได้รับวัคซีนป้องกันโรคมาก่อน หรือได้รับไม่ครบ ควรให้ยาปฏิชีวนะฉีดเข้ากล้ามหรือให้กิน เป็นเวลา 7 วัน พร้อมทั้งเริ่มให้วัคซีน
เมื่อติดตามดูพบว่ามีอาการ และ/หรือตรวจพบเชื้อ ต้องให้ยาปฏิชีวนะพร้อมกับให้ยาต้านเชื้อโรคคอตีบเช่นเดียวกับผู้ป่วย
2. ในเด็กทั่วไป การป้องกันนับว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุด โดยการให้วัคซีนป้องกัน ซึ่งเป็นวัคซีนรวม โรคคอตีบ โรคบาดทะยัก
และโรคไอกรนฉีดทั้งหมด 5 ครั้ง เป็นระยะ เมื่ออายุ 2,4,6 และ 18 เดือน และกระตุ้นอีกครั้งหนึ่งเมื่ออายุ 4-6 ปี
ต่อจากนั้นฉีดกระตุ้นเมื่อ 12-16 ปี เฉพาะวัคซีนคอตีบและบาดทะยัก ไม่ต้องฉีดวัคซีนไอกรนเพราะเป็นโรคมักพบเฉพาะในเด็ก
และต่อไปฉีดกระตุ้นทุกๆ 10 ปี
3. หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน เพื่อให้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ลดโอกาสติดเชื้อต่างๆ
ซึ่งรวมทั้งเชื้อโรคคอตีบ และลดการติดโรคที่ก่อให้เกิดภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำ เช่น ติดเชื้อ การรู้จักใช้หน้ากากอนามัย
และการร่วมมือกันในชุมชนในการรักษาสิ่งแวดล้อมให้มีสุขอนามัยที่ดี
กลับด้านบน ที่มา : http://www.med.cmu.ac.th/
 |