เสน่ห์ปะการัง เยือนยังทะเลมรกต  สวยสดป่าไม้ ไข่มุกขึ้นชื่อ เลื่องลือ  นกน้ำ ถิ่นถ้ำกลางทะเล เสน่ห์  เรือกอและ แวะน้ำตกอุดม ชมหมู่เกาะ  ไพเราะนกเขาชวา ศิลป์ล้ำค่าปักษ์ใต้

 

กลุ่มสาระสุขศึกษาและพลศึกษา

[การละเล่น] [โรคประจำถิ่น]

 

      การละเล่นพื้นบ้านภาคใต้

                                    การ ละเล่นพื้นเมืองภาคใต้ เป็นเรื่องของความบันเทิงรื่นเริงที่จัดขึ้นโดยเน้นผู้ชมเป็นหลัก มีผู้แสดง
                    หรือคณะผู้แสดงเป็นผู้ให้ความบันเทิง ซึ่งแต่ละท้องถิ่นจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตน และมีความบริสุทธิ์ในการแสดง
                    ออกตามภาวะแห่งการดำรงชีวิต   การละเล่นพื้นเมืองภาคใต้มีวัตถุประสงค์เพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลินอันเป็น
                    การผ่อนคลายความเหน็ดเหนื่อย ตรากตรำจากการทำงาน เช่น การเล่นหนังตะลุง หรือโนรา การละเล่นบางอย่าง
                    เกิดขึ้นเพื่อการเฉลิมฉลอง หรือเพื่อแสดงความยินดีในดอกาสที่บุคคลหรือสังคมประสบความสำเร็จในชีวิต เช่น
                    การรำโนราคล้องหงส์ในการโกนจุก หรือการแสดงซัมเป็งเพื่อรับขวัญแขกบ้านแขกเมือง นอกจากนี้มีการละเล่น
                    หลายอย่างเกิดขึ้นเพื่อเป็นพุทธบูชาหรือเกี่ยวกับการ บุญการกุศล เช่น การเล่นเพลงเรือ เพลงแห่นาค และมีการละเล่น
                    บางอย่างเกิดขึ้นเพื่อเป็นการบวงสรวงผีสางเทวดา เช่น กาหลอ และโต๊ะครึม ได้ มีผู้จัดกลุ่มของการละเล่นพื้นเมือง
                    ของภาคใต้โดยถือเอาแนวพื้นที่เป็นตัว แบ่ง ซึ่งสามารถจัดกลุ่มของการละเล่นพื้นเมืองของภาคใต้ได้เป็น 4 กลุ่ม
                    ใหญ่ๆ คือ
                                    กลุ่มที่ 1 คือแถบจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดนราธิวาส ปัตตานี ยะลา สตูล และในเขตบาง
                    อำเภอของจังหวัดสงขลา คือ อำเภอจะนะ นาทวี สะเดา   และบางส่วนของอำเภอหาดใหญ่และอำเภอเมืองสงขลา
                    การละเล่นพื้นเมืองในกลุ่มนี้ ได้แก่ มะโย่ง ซีละ ซัมเป็ง ลอแก วอแยยาวอ เป็นต้น
                                    กลุ่มที่ 2 คือแถบจังหวัดนครศรีธรรมราช พัทลุง บางท้องถิ่นของจังหวัดตรัง และบางท้องถิ่นในเขตจังหวัด
                    สงขลา (บริเวณรอบลุ่มทะเลสาบ) คือ เขตอำเภอระโนด สทิงพระ และรัตภูมิ การละเล่นพื้นเมืองในกลุ่มนี้มีเอกลักษณ์
                    เฉพาะตัวสูง เช่น หนังตะลุง โนรา เพลงบอก และมีการละเล่นที่ได้รับช่วงมาจากกลุ่มที่ 1 บ้าง แต่ได้มาสร้างรูปแบบ
                    เฉพาะตนขึ้นใหม่ เช่น กาหลอ โต๊ะครึม
                                    กลุ่มที่ 3 คือแถบจังหวัดทางฝั่งทะเลตะวันตก ได้แก่ จังหวัดภูเก็ต กระบี่ พังงา และจังหวัดตรังบางท้องที่
                    การละเล่นพื้นเมืองกลุ่มนี้มีลักษณะเด่นเป็นพิเศษ ส่วนหนึ่งได้รับอิทธิพลจากชาวเล ส่วนหนึ่งรับมาจากมาเลเซีย
                    ที่เด่นๆ เช่น รองแง็ง (ประเภทมีบทร้องประกอบการรำ) ลิเกป่าหรือลิเกรำมะนา แม้แต่หนังตะลุง ก็จะมีลักษณะต่าง
                    ไปจากกลุ่มอื่นๆ กล่าวคือ คณะหนังตะลุงที่เป็นคนในท้องถิ่นแท้ๆ จะนิยมเล่นแต่เรื่องรามเกียรติ์ มีขนบนิยมของ
                    หนังใหญ่เข้าไปประสม รูปหนังไม่พัฒนาไปมากเหมือนอย่างหนังตะลุงฝั่งตะวันออก
                                    กลุ่มที่ 4 คือ แถบจังหวัดสุราษฎร์ธานี ชุมพร และระนอง การละเล่นพื้นเมืองของกลุ่มนี้ได้แก่ หนังตะลุง
                    โนรา เพลงบอก นอกจากนนี้ยังมีความนิยมในการเล่นเพลงสูงมาก เช่น เพลงเรือ เพลงนา และมีการละเล่นที่มีรูปแบบ
                    พิเศษ เช่นโนราหอย โนราโกลน เป็นต้น

 

 

                                                                                                          ชื่อ    :            การชนวัว
                                                                                                         ภาค   :            ภาคใต้
                                                                                                     จังหวัด   :            นครศรีธรรมราช
                      อุปกรณ์และวิธีการเล่น
                                    พันธุ์ วัวชนเป็นพันธุ์ไทยเฉพาะ เจ้าของจะผสมพันธุ์วัวชนของตนเอง แล้วคัดเลือกวัวลูกคอกที่มีลักษณะดี
                     นำมาเป็น  วัวชน อายุ ๔-๖ ปี จัดว่าอยู่ในวัยหนุ่มถึกเต็มที่เหมาะที่จะชน   การ เลี้ยงดู ในระยะแรกต้องเอาวัวที่คัดเลือก
                     ไว้นั้นมา "ปรน"(บำรุงเลี้ยงดู) ให้สมบูรณ์เสียก่อน ในกรณีที่เป็นวัวใหม่ อาหารหลักคือหญ้า วัวชนนั้นจะต้องตัดหญ้าใส่ลัง
                     โรงวัวหรือที่พักของวัว ไม่ปล่อยให้กินหญ้าเหมือนวัวประเภทอื่น ๆ อาหารหลักอย่างอื่นมีน้ำและเกลือ สำหรับน้ำจะ
                    ต้องให้วัว กินละ ๒ ถึง ๓ ครั้ง เกลือให้กิน ๑๕ วันต่อครั้ง ครั้งละ๑ กำมือ หรืออาจจะมากน้อยไปกว่านั้นก็ได้ อาหารเสริม
                    สำหรับวัวชน  มีหลายอย่าง เช่น ถั่วเขียวต้มกับน้ำตาลกรวด กล้วยน้ำว้า กล้วยหอม น้ำมะพร้าวอ่อน ขนุน ไข่ไก่และผลไม้
                    อื่น ๆ สำหรับไข่ไก่  ให้วัวชนกินครั้งละ ๑๐ ถึง ๑๕ ฟอง อาจจะเอาไข่ไก่ตีคนกับเบียร์ดำใส่กระบอกกรอกให้กินก็มี ที่อยู่
                    ของวัวชน  จะปลูกสร้างเป็นโรงนอนให้อยู่ขนาดพอควร แต่ต้องก่อไฟแกลบไล่ยุงและริ้น ไม่ให้มารบรวนได้ บางตัวที่เจ้า
                    ของมีฐานะดี   กางมุ้งหลังใหญ่ให้วัวนอน หรืออาจทำมุ้งลวดให้ โรงวัวดังกล่าวจะต้องทำความสะอาดทุกวัน
                    การออกกำลังกายและฝึกซ้อมก่อนชนวัว ในระยะก่อนชน คนเลี้ยงจะต้องนำวัวเดินหรือวิ่งออกกำลังกายในตอนเช้ามืด
                    ทุกวัน เป็นระยะเวลาทางประมาณ ๕ ถึง ๑๐ กิโลเมตร เมื่อเดินหรือวิ่งในตอนเช้ามืดแล้ว คนเลี้ยงวัวจะนำวัวไปอาบน้ำ
                    ด้วยการขัดสีด้วยแปรง บางตัวฟอกสบู่จนเนื้อตัวสะอาดสะอ้านดีแล้ว จึงนำมากินหญ้ากินน้ำ แล้วเริ่มตากแดด เรียกว่า
                   "กราดแดด" คือล่ามหรือผูกไว้กลางแดด เพื่อให้วัวชน  มีน้ำอดน้ำทน เริ่ม "กราดแดด" ตั้งแต่ ๐๙.๐๐ ถึง ๑๒.๐๐ น.   
                    แต่บางตัวจะต้องกราดแดดต่อไปจนถึงบ่ายก็มี เมื่อกราดแดดแล้ว  ก็นำเข้าเพื่อพักผ่อน ให้กินหญ้าให้กินน้ำ พอถึง
                    เวลา ๑๕.๐๐ ถึง ๑๖.๐๐ น. คนเลี้ยงจะนำวัวพาเดินไปยังสนามที่จะชน เพื่อให้   คุ้นเคยกับสถานที่ เรียกว่าให้ "ลงที่"
                   ทุกวัน แล้วนำมากลับอาบน้ำเช็ดตัวให้แห้งอีกครั้งก่อนที่จะเข้าที่พัก เพื่อให้กินหญ้ากินน้ำ และพักผ่อน จึงเห็นได้ว่าใน
                   ช่วงเวลาวันหนึ่ง ๆ นั้น คนเลี้ยงวัวชนจะต้องเอาใจใส่โดยกระทำต่อวัวของตนเป็นกิจวัตรประจำวัน  การ ซ้อมคู่
                    การซ้อมคู่ หรือปรือวัว จะใช้เวลาประมาณ ๕-๑๐ นาที และต้องใช้เชือกยาว เพื่อสะดวกในการแยกคู่ออกจากกัน
                    เมื่อต้องการหยุดซ้อม การซ้อมคู่ทำได้ประมาณ ๑-๒ ครั้งต่อเดือน วัวชนตัวหนึ่งๆ ต้องซ้อมคู่อย่างน้อย ๔-๕ ครั้ง จึงจะ
                    ทำกัน ชนได้
                                    การ เปรียบวัว การเปรียบวัว คือการจับคู่ชน นายสนามจะเป็นผู้นัดวันเปรียบวัวโดยให้นำวัวที่จะชนกันมาเข้ายืน
                    เทียบกัน เพื่อพิจารณาความสูงต่ำ เล็กใหญ่ของลำตัว และเขาของวัวทั้งสอง เมื่อเจ้าของวัวตกลงจะชนกัน                                                                                     นายสนามจะกำหนดวันชนซึ่งเจ้าของวัวจะต้องปฏิบัติตามกติกาการชนวัวอย่างเคร่ง ครัดโอกาสหรือเวลาที่เล่น
                    การ ชนวัวมักจะชนในเทศกาลสงกรานต์ และเทศกาลเดือนสิบ ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ชาวบ้านหยุดการทำงาน มารื่นเริงสนุก
                    สนานตามเทศกาลบางสนามวัวชนจะมีการชนวัว เดือนละครั้ง ในวันเสาร์และอาทิตย์ หรือแล้วแต่โอกาสอันเป็นที่นัดหมาย          

                     แนวคิด
                                    กีฬา ชนวัวเป็นกีฬาพื้นเมืองของนครศรีธรรมราช มีกติกาชัดเจนถึง ๑๔ ข้อ จนถึงขั้นแพ้ชนะ ให้ความ
                    สนุกสนานตื่นเต้นประทับใจแก่ผู้ชมยิ่ง  ในระยะแรกจึงเชื่อกันว่า ชนเล่นเพื่อความสนุกสนานเพียงอย่างเดียว แต่ต่อมา
                    มีการพนันกันขึ้น มีการมัดจำ    วางเงินเดิมพันกัน จึงเป็นที่น่าวิตกว่ากีฬาชนวัวอาจก่อให้เกิดปัญหาอย่างอื่นตามมา                                                             เพราะการพนันย่อมมีทั้งผู้ได้และผู้เสียเพื่อป้องกันความไม่สงบเรียบร้อย ทางราชการจึงควรเข้าไปควบคุมให้เป็น
                    ไปตามกฎหมาย และมีขอบเขตจำกัดให้การชนวัวเป็น
                    เพียงกีฬาพื้นบ้าน เพื่อความสนุกสนานเท่านั้น

ที่มา  :  http://pimpichcha.blogspot.com/

     กลับด้านบน

โรคประจำถิ่น

 

                       โรคประจำถิ่น (Endemic disease) ได้แก่ โรคที่พบเกิดได้บ่อยและมีประจำอยู่ในพื้นที่ หรือในท้องถิ่นนั้นๆตลอดเวลา
                    ไม่ได้ติดต่อมาจากที่อื่น/แหล่งอื่น โดยสามารถคาดการหรือประมาณอัตราเกิดของโรคได้ และโดยทั่วไปโรคมักมีความ
                    รุน  แรงต่ำและ     โรคฟิลาริเอซิส หรือ ฟิลาเรีย หรือโรคเท้าช้าง( FILARIASIS or Filarial Infections )

                       โรคเท้าช้าง เป็นโรคติดต่อร้ายแรงและเป็นอันตราย ในประเทศไทยส่วนใหญ่พบเฉพาะ ภาคใต้เริ่มตั้งแต่จังหวัด
                    ชุมพร สุราษฎร์ธานี    นครศรีธรรมราช    พัทลุง สงขลา ปัตตานี นราธิวาส ระนอง ภูเก็ต โดยพบเชื้อได้ทั้ง 2 ชนิด แต่
                    ชนิดที่ 1 มีการระบาดน้อยกว่าชนิดที่ 2

                       เชื้อที่ทำให้เกิดโรค โรคเท้าช้างเป็นโรคที่เกิดจากพยาธิตัวกลมที่มีชื่อเรียกว่า ฟิลาเรีย (Filaria)หรือ ฟิลาริเอซิส
                    (FILARIASIS) โดยตัวแก่ของพยาธิซึ่งมีรูปร่างคล้ายเส้นด้ายจะอาศัยอยู่ในหลอดน้ำเหลือง และตัวอ่อนซึ่งเรียกว่า
                    ไมโครฟิลาเรีย (microfilaria) ออกมาว่ายในกระแสเลือด ฟิลาเรียที่พบในมนุษย์มีหลายชนิด แต่ที่พบในประเทศไทยมี
                    เพียง 2 ชนิด คือ
                       1.ชนิดขาโต เกิดจาก ไมโครฟิลาเรีย ของพยาธิ บรูเกีย มาลาไย (Brugiamalayi) โดยอาศัยยุงจำพวก แมนโซเนีย
                    (Mansonia) เป็นตัวนำโรค ยุงชนิดนี้จะวางไข่ตามแอ่งน้ำที่มี ผักตบชวา จอก และวัชพืชอื่นๆ พบทางบริเวณภาคใต้ ทำให้
                    เกิดอาการขาโต เป็นโรคประจำถิ่นของประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อินเดีย ภาคกลางของจีน เกาหลีใต้ และหมู่เกาะ
                    ใหญ่ๆ ของอินโดนีเซีย ในเมีองไทยพบมากในภาคใต้
                       2.ชนิดอัณฑะโต เกิดจาก ไมโครฟิลาเรียของพยาธิ วูเชอเรอเรีย แบนครอฟไท (Wuchereriabancrofti) โดยอาศัยยุง
                    เออีดีส ไนเวียส (Aedesniveus)   เป็นตัวนำโรคนอกจากนี้ ยุงก้นปล่องและยุงคิวเล็กซ์ (Culex) ก็เป็นพาหะที่นำโรคนี้ได้เช่นกัน
                    เป็นโรคประจำถิ่นของพื้นที่ที่อยู่ในแถบอบอุ่นทั่วไปได้แก่กลุ่มประเทศลาดินอเมริกาเอเชีย และหมู่เกาะแปซิฟิกในเมีอง พบ
                    มากที่ จังหวัดกาญจนบุรี โดยเฉพาะบริเวณต้นน้ำแควน้อย และแควใหญ่ ในปี พ.ศ. 2525 พบผู้ป่วยที่จังหวัดนราธิวาสด้วย  
                    สำหรับท้องถิ่นใดจะมีความชุกชุมของโรคมากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับแหล่งของโรค ได้แก่จำนวนผู้ป่วยและแหล่งเพาะพันธุ์
                    ของยุงนำโรค

                      แหล่งของโรค นอกจากมนุษย์แล้วยังพบว่าสัตว์ป่าบางชนิดเป็นสัตว์กักตุนโรค เช่น ลิง ชะนี ค่าง และพบในสุนัข แมวอีก
                    ด้วย แหล่งของโรค ได้แก่มนุษย์หรือผู้ที่มีพยาธิฟิลาเรียอาศัยอยู่ในหลอดเลือดในร่างกาย และยุงที่มีตัวอ่อนของเชื้อชนิดนี้
                    อยู่ในร่างกายเมื่อยุงที่เป็นพาหะของโรคมากัดคนเพื่อกินเลือด จะได้รับไมโครฟิลาเรีย (ตัวอ่อน) เข้าสู่ร่างกายและถ่ายเชื้อ
                    ให้กับผู้อื่นที่ยุงไปกัดยุงที่เป็นพาหะนำ                    
                                        โรคเท้าข้าง คือยุง Species ชนิดต่างๆ คือ
                    1.ยุงพวก Culexมีไม่น้อยกว่า 16 ชนิด
                    2.ยุงพวก Aedesมีไม่น้อยกว่า 18 ชนิด
                    3.ยุงพวก Mansoniaมีไม่น้อยกว่า 9 ชนิด
                    4.ยุงพวก Anopheles มีไม1น้อยกว่า 35 ชนิด
                    ยุงที่เป็นพาหะนำโรคเท้าช้างชนิด ที่ 1 (ทำให้ขาโต) ในประเทศไทย ได้แก่ Mansoniaindiana, Mansoniauniformis,
                    MansoniaAnnulifera, Mansonia diver,Anopheles albotaeniatus, Anopheles barbirostris, Anopheles sinesis, Anopheles
                    umbrosus เป็นต้น ยุงที่เป็นพาหะนำโรคเท้าช้างชนิดที่ 2(ทำให้อัณฑะโต) ในประเทศไทย ได้แก่ AedesHarveyi, Aedesniveus,
                    Anopheles maculatus, Anopheles minimusและ Anopheles vagus
                    การติดต่อ ปกติตัวอ่อนของเชื้อฟิลาเรียมักไม่ออกมาในกระแสเลือดเวลากลางวัน แต่จะออกมาในตอนกลางคืน                                                             เมื่อผู้ป่วยถูกยุงกัดเชื้อจะไปเจริญโดยลอกคราบจนกลายเป็นระยะ ติดต่อในตัวยุงและยุงจะถ่ายเชื้อให้ผู้ที่มันกัดรายต่อไป                                                             โดยเชื้อฟิลาเรียจะไปเจริญเติบโตเป็นตัวแก่อาศัยอยู่ในหลอดเลือดของผู้ที่ถูกยุงกัด
                    ระยะฟักตัวของโรค หลังจากร่างกายได้รับพยาธิเข้าไป ประมาณ 3 เดือน จะมีอาการอักเสบและแพ้ปรากฏขึ้น หลังจากนั้น
                    อีกประมาณ 4 เดือนจึงจะพบพยาธิตัวอ่อน (ที่เกิดใหม่) ในโลหิต
                    ระยะติดต่อ โรคนี้ไม่ติดต่อโดยตรงจากมนุษย์ไปสู่มนุษย์ แต่การติดต่อจะผ่านยุง ตราบเท่าที่มีพยาธิตัวอ่อนอยู่ในโลหิต                                                             ผู้ป่วยจะสามารถถ่ายทอดเชื้อไปสู่ผู้อื่นได้โดยตลอดเวลาโดยมียุงเป็นพาหะ ซึ่งตัวอ่อนจะอยู่ในยุงประมาณ 10                                                                                 วันจึงจะกลายเป็นระยะติดต่อเข้าสู่ร่างกายผู้อื่นเมื่อยุงที่เป็นพาหะไปกัด
                    ความไวและภูมิคุ้มกันโรค ผู้ที่ได้รับเชื้อมีโอกาสป่วยเป็นโรคเท้าช้างได้ทุกคน แต่ก็ขึ้นอยู่กับลักษณะที่ตั้งทางภูมิศาสตร์
                    ผู้ที่เคยเป็นโรคนี้แล้วอาจเป็นซ้ำได้อีกอาการผู้ป่วยจะมีอาการ แบบค่อยเป็นค่อยไป เริ่มด้วย อาการอ่อนเพลีย
                    เบื่ออาหารอยู่ 2 วันแล้วเป็นไข้อย่างเฉียบพลัน รู้สึกคลื่นไส้อาเจียนซึเหงื่อออกมา ไข้สูงอยู่ 1-2 วันแล้วลดลง
                    ผู้ป่วยบางรายอาจมีไข้ตํ่าๆ เป็นๆหายๆ ต่อมาต่อมน้ำเหลือง บริเวณขาจะบวมแดง เมื่อเป็นนานๆ ผิวหนังจะหนาและขรุขระ
                    ทำให้ขาโตขึ้น จึงเรียกว่าโรคเท้าช้าง ซึ่งมีสาเหตุมาจากการที่พยาธิตัวแก่ที่มีชีวิตหรือที่ตายแล้วไปอุดตันทางเดินของ
                    น้ำเหลือง การเดินทาง เคลื่อนไหวของตัวพยาธิยังทำให้เกิดการระคายเคืองภายในทางเดินของท่อน้ำเหลือง                                                                                 นอกจากนั้นตัวพยาธิยังปล่อยสารพิษที่มีปฏิกิริยาต่อร่างกาย
                    อาจแบ่งโรคออกเป็น 2 ระยะ คือ
                    ระยะแรก เมื่อพยาธิฟิลาเรียเข้าสู่ร่างกายแล้ว จะค่อยๆเจริญเติบโต อาจกินเวลานานนับ เดือน หรือเป็นปี จึงจะเกิดอาการ
                    ของต่อมน้ำเหลืองอักเสบทำให้หลอดน้ำเหลืองบริเวณขา เกิดอักเสบ โดยอาการอักเสบจะเริ่มจากส่วนบนลงมาปลายขา
                    เจ็บปวดมาก ผู้ป่วยอาจมีไข้ขึ้น สูง ซึม อัณฑะอักเสบต่อจากนั้นอาการจะทุเลาลง แล้วกลับเป็นใหม่อีก เป็นๆหายๆ อาจ
                    เนื่องจากได้รับเชื้อเข้าไปใหม่ระยะหลัง เมื่อผู้ป่วยเป็นโรคนี้นานๆ ตัวแก่จะอาศัยอยู่ตามท่อน้ำเหลือง ทำให้หลอดน้ำ
                    เหลืองตีบตัน น้ำเหลืองจะคั่งบริเวณขา และลูกอัณฑะมากทำให้ขา และลูกอัณฑะโต นอก จากนั้นอาจพบได้ในที่อื่นๆ
                    เช่น ที่เต้านม ท้อง ซึ่งทำให้เกิดอาการท้องมาน
                     การตรวจหาเชื้อและวินิจฉัยโรค
                    1.ดูจากอาการ ผู้ป่วยจะมีต่อมน้ำเหลืองบวมอักเสบ ลูกอัณฑะโต รวมทั้งขาแขนเต้านมโต ผิวหนังหยาบหนาขรุขระ
                    2.ตรวจโลหิตผู้ป่วยโดยนำเลือดสดๆที่เจาะจากปลายนิ้วใส่สไลด์ดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ จะเห็นไมโครฟิลาเรีย (microfilaria)                                                             นอกจากนั้นยังมีวิธีการตรวจอื่นๆ และจากการตรวจหาเชื้อจากน้ำเหลือง ฯ
                    การรักษาและควบคุมป้องกันโรค
                    วิธีป้องกันที่ดีที่สุดเพื่อไม่ให้เกิดโรคฟิลาเรีย หรือ โรคเท้าช้าง คือ นอนกางมุ้ง พ่นสารดีดีทีเพื่อกำจัดยุง และช่วยกัน
                    กำจัดวัชพืชน้ำเพื่อป้องกันการแพร่พันธุ์ของยุง
                    ควรค้นหาผู้ป่วย ให้การวินิจฉัยแต่เริ่มแรก และรีบรักษาให้หายจากโรคโดยเร็ว ไม่จำเป็นต้องแยกกักผู้ป่วย
                    ยาสำหรับรักษา ได้แก่ยา ไดเอทธิลคาร์บามา1ชิน (DielhylCarbamazine) (DEC) เพื่อทำลายพยาธิตัวอ่อนในกระแสโลหิต
                    ขนาด 6 มก./นน.ตัว1 กก. วันละ 1 ครั้ง หรือสัปดาห์ละครั้งติดต่อกัน 12 ครั้ง หรือใช้ รีตราซอน (Hetrazon) 2-3 มก./นน.
                    ตัว 1 กก. รับประทานวันละ 3 เวลา เป็นเวลา 14-21 วัน ฯ
                    สรุป
                    โรคเท้าช้างคือโรคที่เกิดจากการติดเชื้อพยาธิฟิลาเรียชนิด Wuchereria bancrofti หรือ Brugia malayi                                                                                 เนื่องจากตัวเต็มวัยของพยาธิอาศัยอยู่ในระบบน้ำเหลือง                                                                                                                                                                 ดังนั้นคนที่เป็นโรคพยาธิฟิลาเรียทั้งสองชนิดนี้จึงมีอาการแสดงซึ่งเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงทางพยาธิสภาพของ
                    ระบบน้ำเหลือง เช่นท่อน้ำเหลืองอักเสบ ต่อมน้ำเหลืองอักเสบ มีอาการไข้เท้าช้าง ท่อน้ำเหลืองขยาย พร้อมกับมีการอุด
                    ตันทางเดินของน้ำเหลืองเกิดพังผืดและมีน้ำเหลืองคั่ง ผลสุดท้ายอวัยวะที่เป็นโรคจะโตซึ่งเรียกว่าภาวะโรคเท้าช้าง                                                            การจะเกิดภาวะของโรคเท้าช้างนี้จะกินเวลาค่อนข้างนานและมีการติดเชื้อพยาธิฟิลาเรียซ้ำแล้วซ้ำอีก                                                                                 สรุปคือต้องอาศัยอยู่ในแหล่งที่มีการระบาดของเชื้อโรคเป็นระยะเวลานาน ดังนั้นเราจะพบภาวะของโรคเท้าช้าง
                    ในผู้ป่วยที่มีอายุมักเกิน 30 กว่าปีขึ้นไป
                    ในกรณีของ W. bancrofti นั้น เท่าที่เคยมีรายงานในประเทศไทยส่วนใหญ่                                                                                                                         พบว่าตัวเต็มวัยของพยาธิจะไปอาศัยอยู่ในระบบน้ำเหลืองบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ ทำให้เกิดภาวะอัณฑะมีถุงน้ำ
                    และปัสสาวะเป็นไขมัน ส่วน B. malayiจะทำให้เกิดภาวะโรคเท้าช้างที่ขาเป็นส่วนมาก
                    ยุงที่เป็นพาหะซึ่งมีตัวอ่อนระยะติดต่อของพยาธิมากัดคน ระยะติดต่อจากจงอยปากของยุงจะไชเข้าสู่แผลบริเวณ
                    ผิวหนังที่ถูกยุงกัดและเข้าสู่ร่างกายเจริญเติบโตเป็นระยะตัวเต็มวัยต่อไป

ที่มา  :  http://www.farmthailand.com

     กลับด้านบน


โคงงานบูรณาการ O-NET สามกลุ่มสาระการเรียนรู้
โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สวนกุหลาบวิทยาลัย ปทุมธานี