สวยศิลป์ล้านนา เสน่หาทะเลหมอก ป่าไม้งามหลายน้ำตก มรดกประเพณี ชนเผ่ามีมาก หลากผ้าทอมือ เลื่องลือฟ้อนเล็บ เก็บภาพขันโตก เสน่ห์โลกถิ่นเหนือ

กลุ่มสาระศิลปะ
[นาฏศิลป์] [ดนตรี] [ศิลปะ]

 

>>นาฏศิลป์<<

ฟ้อนผาง

 

ประวัติ เป็นศิลปะการฟ้อนที่มีมาแต่โบราณ เป็นการฟ้อนเพื่อบูชาองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เดิมใช้ผู้ชายแสดง ต่อมานาเจริญจันทร์เพื่อน ผู้อำนวยการวิทยาลัยนาฏศิลป์เชียงใหม่ ดำริให้คณะครูอาจารย์หมวดวิชานาฏศิลป์พื้นเมืองเป็นผู้ประดิษฐ์ท่ารำให้เหมาะสมกับผู้หญิงแสดง โดยได้รับความอนุเคราะห์จากนายมานพ ยาระณะ ศิลปินพื้นบ้านเป็นผู้ถ่ายทอดท่าฟ้อนและให้คำแนะนำเกี่ยวกับท่ารำโดยมีนายปรีชา งามระเบียบอาจารย์ 2 ระดับ 7รักษาการในตำแหน่งผู้ช่วยผู้อำนวยการวิทยาลัยนาฏศิลป์เชียงใหม่(ฝ่ายกิจกรรม) เป็นผู้ควบคุมการประดิษฐ์ท่ารำ

รูปแบบการแสดง   ลีลาการฟ้อนดำเนินไปตามจังหวะของการตีกลองสะบัดชัย มือทั้งสองจะถือประทีปหรือผางผะตี้บ

การแต่งกายและทำนองเพลง
ลักษณะการแต่งกายแต่งแบบชาวไทยลื้อ สวมเสื้อป้ายทับข้าง เรียกว่า “เสื้อปั๊ด” หรือ “เสื้อปั๊ดข้าง” ขลิบริมด้วยผ้าหลากสีเป็นริ้ว นุ่งผ้าซิ่นเป็นริ้วลายขวาง ประดับด้วยแผ่นเงิน รัดเข็มขัดเงินเส้นใหญ่ ติดพู่แผงเงิน ใส่ต่างหูเงินและสวมกำไลข้อมือเงิน
สำหรับทำนองเพลงที่ใช้ประกอบการแสดงชุดฟ้อนผางให้ชื่อว่า “เพลงฟ้อนผาง” แต่งโดยนายรักเกียรติ ปัญญายศ อาจารย์ 3 ระดับ 8 หมวดวิชาเครื่องสายไทย

วิทยาลัยนาฏศิลป์เชียงใหม่

ที่มา : http://www.thaigoodview.com/node/81888

>>กลับด้านบน<<

>>ดนตรี<<

เครื่องดนตรี

สะล้อ
 คำอธิบาย: http://cdn.gotoknow.org/assets/media/files/000/247/468/original_sa_lor.jpg?1352624709

สะล้อหรือ ทะล้อ เป็นเครื่องสายบรรเลงด้วยการสีใช้คันชักอิสระ ตัวสะล้อที่เป็นแหล่งกำเนิด เสียง ทำด้วยกะลามะพร้าว ตัดและปิดหน้าด้วยไม้บาง ๆ
มีช่องเสียงอยู่ด้านหลัง คันสะล้อทำด้วยไม้สัก หรือไม้เนื้อแข็งอื่นๆ โดยปกติจะ ยาวประมาณ ๖๐ เซนติเมตร ลูกบิดอยู่ด้านหน้านิยม ทำเป็นสองสาย
แต่ที่ทำเป็นสามสายก็ มีสาย ทำด้วยลวด(เดิมใช้สายไหมฟั่น)สะล้อมี ๓ ขนาด คือ สะล้อเล็กสะล้อกลาง และสะล้อใหญ่ ๓ สาย

ซึง
คำอธิบาย: http://cdn.gotoknow.org/assets/media/files/000/247/469/original_sueng.jpg?1352624714

ซึงเป็นเครื่องสายชนิดหนึ่งใช้บรรเลงด้วยการดีดทำด้วยไม้สักหรือไม้เนื้อแข็ง มีช่องเสียงอยู่ด้านหน้า กำหนดระดับเสียงด้วยนมเป็นระยะๆ
ดีดด้วยเขาสัตว์บางๆ มีสายทำด้วยโลหะ เช่น ลวด หรือ ทองเหลือง (เดิมใช้สายไหมฟั่น) ๒ สาย 

ปี่
คำอธิบาย: http://cdn.gotoknow.org/assets/media/files/000/247/471/original_pi_north.jpg?1352624711
     

 ปี่ เป็นปี่ลิ้นเดียว ที่ตัวลิ้นทำด้วย โลหะเหมือนลิ้นแคน ตัวปี่ทำด้วยไม้ซาง ที่ปลายข้างหนึ่ง ฝังลิ้นโลหะไว้เวลาเป่าใช้ปากอม
ลิ้นที่ปลายข้างนี้ อีกด้านหนึ่งเจาะรู บังคับเสียงเรียงกัน ๖ รูใช้ปิดเปิด ด้วยนิ้ว มือทั้ง ๒ นิ้ว เพื่อให้เกิดทำนองเพลง มี ๓ ขนาด
ได้แก่ ขนาดใหญ่เรียก ปี่แม่ ขนาดรองลงมา เรียก ปี่กลาง และขนาดเล็กเรียก ปี่ก้อย นิยม บรรเลงประสมเป็นวงเรียก วงจุมปี่ 
หรือปี่จุม หรือ บรรเลงร่วมกับซึงและสะล้อ        

  ปี่แน
คำอธิบาย: http://cdn.gotoknow.org/assets/media/files/000/247/472/original_nae.jpg?1352624714
              

ปี่แน มีลักษณะคลายปี่ไฉนหรือปี่ชวาแต่มีขนาดใหญ่กว่า เป็นปี่ประเภทลิ้นคู่ทำด้วยไม้ เนื้อแข็ง มีรูบังคับเสียง เช่นเดียวกับปี่ใน
นิยมบรรเลงในวงประกอบกับฆ้อง กลอง ตะหลดปด และกลองแอว เช่น ในเวลาประกอบการฟ้อน เป็นต้น มี ๒ ขนาด
ได้แก่ ขนาดเล็กเรียก แนน้อย ขนาดใหญ่ เรียก แนหลวง 

พิณเปี๊ยะ
คำอธิบาย: http://cdn.gotoknow.org/assets/media/files/000/247/473/original_pin_pia.jpg?1352624715
              

พิณเปี๊ยะ หรือ พิณเพียะ หรือบางทีก็เรียกว่า เพียะ หรือเปี๊ยะ กะโหลกทำด้วยกะลามะพร้าว เวลาดีดเอา กะโหลกประกบติดไว้กับหน้าอก
ขยับเปิด-ปิด เพื่อให้เกิดเสียงกังวานตามต้องการ สมัยก่อนหนุ่มชาวเหนือนิยมเล่นดีดคลอการขับร้องในขณะไป เกี้ยวสาวตามหมู่บ้านในยามค่ำคืน
ปัจจุบันมี ผู้เล่นได้น้อยมาก


กลองเต่งถิ้ง
คำอธิบาย: http://cdn.gotoknow.org/assets/media/files/000/247/475/original_gong_teng_thing.jpg?1352624723
             

กลองเต่งถิ้ง เป็นกลองสองหน้าทำด้วยไม้เนื้อแข็ง เช่น ไม้แดงหรือไม้เนื้ออ่อน เช่น ไม้ขนุน หน้ากลองขึงด้วยหนังวัวมีขาสำหรับใช้วางตัวกลอง
ใช้ประสมกับเครื่องดนตรีอื่นๆ เพื่อเป็นเครื่องประกอบจังหวะ

 ตะหลดปด
คำอธิบาย: http://cdn.gotoknow.org/assets/media/files/000/247/477/original_ta_lod_pod.jpg?1352624720
      

ตะหลดปดหรือมะหลดปด เป็นกลองสองหน้าขนาดยาวประมาณ ๑๐๐ เซนติเมตร หน้ากลอง ขึงด้วยหนัง โยงเร่งเสียงด้วยเชือกหนัง
หน้าด้านกว้างขนาด ๓๐ เซนติเมตร ด้านแคบ ขนาด ๒๐ เซนติเมตร หุ่นกลองทำ ด้วยไม้เนื้อแข็งหรือเนื้ออ่อน ตีด้วยไม้หุ้มนวม มีขี้จ่า
(ข้าวสุกบดผสมขี้เถ้า) ถ่วงหน้า


   กลองตึ่งโนง
คำอธิบาย: http://cdn.gotoknow.org/assets/media/files/000/247/478/original_klong_tueng_non.jpg?1352624717
            

กลองตึ่งโนง เป็นกลองที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ตัวกลองจะยาว มากขนาด ๓-๔ เมตรก็มี ใช้ตีเป็นอาณัติสัญญาณประจำวัด
และใช้ในกระบวนแห่กระบวนฟ้อนต่างๆประกอบกับตะหลดปด ปี่แน ฉาบใหญ่ และฆ้องหุ่ย ใช้ตีด้วยไม้ เวลาเข้ากระบวน จะมีคนหาม

กลองสะบัดชัยโบราณ
คำอธิบาย: http://cdn.gotoknow.org/assets/media/files/000/247/479/original_klong_sabad_chai_boran.jpg?1352624728

กลองสะบัดชัยโบราณ เป็นกลองที่ มีมานานแล้วนับหลายศตวรรษ ในสมัยก่อนใช้ตียามออกศึกสงคราม เพื่อเป็นสิริมงคลและเป็นขวัญกำลังใจ
ให้แก่เหล่าทหารหาญในการต่อสู้ให้ได้ชัยชนะ ทำนองที่ใช้ในการตีกลองสะบัดชัยโบราณมี ๓ ทำนอง คือ ชัยเภรี, ชัย ดิถี และชนะมาร             

ที่มา : https://www.gotoknow.org/posts/220952

>>กลับด้านบน<<

>>ศิลปะ<<

ศิลปะล้านนา

ศิลปะล้านนา หรือ ศิลปะเชียงแสน มีลักษณะเก่าแก่มาก คาดว่ามีการสืบทอดต่อเนื่องของศิลปะ ทวาราวดี และลพบุรี
ในดินแดนแถบนี้มาตั้งแต่สมัยหริภุญชัย ศูนย์กลางของศิลปะ ล้านนาเดิมอยู่ที่เชียงแสน เรียกว่าอาณาจักรโยนก
ต่อมาเมื่อพญามังรายได้ย้ายมาสร้างเมืองเชียงใหม่ ศูนย์กลางของของอาณาจักรล้านนาอยู่ที่เมืองเชียงใหม่
ประติมากรรม
ลักษณะสำคัญของพระพุทธรูป ศิลปะล้านนา ซึ่งมักเรียกว่า แบบเชียงแสน คือ พระวรกายอวบอูม พระพักตร์อิ่ม ยิ้มสำรวม
กระเกตุมาลาเป็นรูปต่อมกลม และดอกบัวตูม ไม่มีไรพระศก พระศกเป็นแบบก้นหอย พระขนงโก่งรับพระนาสิกงุ้มเล็กน้อย
ชายสังฆาฏิสั้นเหนือพระถัน พระอุระนูนดังราชสีห์ ท่านั่งขัดสมาธิเพชร

 

หอคำหลวง สถาปัตยกรรมล้านนาชิ้นเอก

ศิลปะล้านนา

ศิลปะแบบล้านนาเป็นศิลปะที่เกิดขึ้นเมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ 18-21 บริเวณลุ่มแม่น้ำปิงทางภาคเหนือโดยแต่ก่อนเรียกว่า ศิลปะเชียงแสน
ซึ่งมีข้อจำกัดทั้งในด้านความหมายของพื้นที่และผลงานศิลปกรรม ดังนั้นจึงเห็นสมควรให้ใช้คำว่า “ศิลปะล้านนา”
อันหมายถึงรูปแบบศิลปะที่กระจายอยู่ในภาคเหนือตอนบนตั้งแต่จังหวัดตาก แพร่ น่าน ขึ้นไป ทั้งนี้เพื่อให้ได้ความหมายครอบคลุมศิลปกรรมทุกรูปแบบที่เกิดขึ้นในดินแดน
ล้านนาทั้งหมด อีกทั้งยังสามารถแยกเรียกเป็นสกุลช่างตามรายละเอียดที่แตกต่างกันไปเช่น ศิลปะล้านนาสกุลช่างเชียงใหม่ สกุลช่างน่าน หรือ สกุลช่างพะเยา เป็นต้น
และเฉพาะพระพุทธรูปเท่านั้นที่ยังคงนิยมเรียกว่า “แบบเชียงแสน”ตามเดิม
สถาปัตยกรรม
- สถูปเจดีย์ทรงมณฑป หรือทรงปราสาท เจดีย์ทรงนี้ระยะแรกแส
ดงรูปแบบอิทธิพลหริภุญไชย (ด้วยดินแดนล้านนาแต่เดิม เคยอยู่ใต้อิทธิพลทางการเมือง ศาสนาและวัฒนธรรมจากหริภุญไชยมาก่อน
- เจดีย์ทรงกลมหรือทรงลังกาหรือทรงระฆัง เจดีย์ทรงนี้มีวิวัฒนาการมาตลอดตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๙ (แต่แรกสร้างเมือง) มาจนถึงพุทธศตวรรษที่ ๒๑ และได้กลายเป็นแบบแผนของเจดีย์ล้านนา
โดยเฉพาะ ระยะแรกลักษณะเจดีย์ปรับปรุงมาจากเจดีย์แบบหนึ่งในศิลปะพุกาม มีลักษณะคือ ฐานบัวในผังกลมสามฐานซ้อนลดหลั่นกันรองรับองค์ระฆังใหญ่
- เจดีย์แบบเบ็ดเตล็ด มีลักษณะแตกต่างจาก 2 แบบแรก เช่น มีลักษณะทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าคล้ายวิหาร

 

ประติมากรรม

ประติมากรรมไทยสมัยเชียงแสน ประติมากรรม ไทยสมัยเชียงแสนเป็นประติมากรรมในดินแดนสุวรรณภูมิที่นับว่าสร้างขึ้นโดย
ฝีมือช่างไทยเป็นครั้งแรกเกิดขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 16-21 มี ปรากฏแพร่หลายอยู่ตามหัวเมืองต่างๆ ทางภาคเหนือของไทย
แหล่งสำคัญอยู่ที่เมืองเชียงแสนวัสดุที่นำมาสร้างงานประติมากรรมที่ทั้งปูน ปั้นและโลหะต่างๆที่มีค่าจนถึงทองคำบริสุทธิ์ประติมากรรมเชียงแสน
แบ่งได้ เป็น2 ยุค คือ เชียงแสนยุคแรก มีทั้งการสร้างพระพุทธรูปและภาพพระโพธิสัตว์หรือเทวดาประดับศิลปสถาน
เชียงแสนยุคหลัง มีการสร้างพระพุทธรูปที่มีแบบของลัทธิลังกาวงศ์จากสุโขทัยเข้ามาปะปนรูป ลักษณะโดยส่วนรวมสะโอดสะองขึ้น
ไม่อวบอ้วนบึกบึน พระพักตร์ยาวเป็นรูปไข่มากขึ้นพระรัศมีทำเป็นรูปเปลว พระศกทำเป็นเส้นละเอียดและมีไรพระศกเป็น เส้นบางๆ
ชายสังฆาฏิ ยาวลงมาจรดพระนาภี พระพุทธรูปโดยส่วนรวมนั่งขัดสมาธิราบ พระพุทธรูปที่นับว่าสวยที่สุดและถือเป็นแบบอย่างของพระพุทธรูปที่นับว่าสวย
ที่สุดถือเป็นแบบอย่างของพระพุทธรูปที่นับว่าสวยที่สุดพระพุทธสิหิงค์ในพระ ที่นั่งพุทไธสวรรย์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
กรุงเทพฯพระพุทธรูปเชียงแสนนี้มักหล่อด้วยโลหะทองคำ และสำริด

ที่มา : https://thaiart.wikispaces.com/ศิลปะสมัยล้านนา

>>กลับด้านบน<<

 

โครงงานบูรณาการ O-NETกลุ่มสาระการเรียนรู้
โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สวนกุหลาบวิทยาลัย ปทุมธานี