ศิลปะ
[นาฎศิลป์] [ดนตรี] [ศิลปะ]

การแสดงภาคเหนือ
ฟ้อนแพน
“ลาวแพน” เป็นชื่อเพลงดนตรีไทยจำพวกเพลงเดี่ยว ซึ่งนักดนตรีใช้เป็นเพลงสำหรับอวดฝีมือโดยมีเครื่องดนตรีที่เหมาะสม
กับทำนองเพลงในการเดี่ยวอยู่เพียง ๒ อย่าง คือ จะเข้ และปี่เท่านั้น ครั้นนำเพลงลาวแพนมาใช้ประกอบการแสดงจึงเรียกชุดการแสดงนี้ว่า
“ฟ้อนแพนหรือฟ้อนลาวแพน”
ฟ้อนแพน สันนิษฐานว่าเกิดขึ้นจากการแสดงละครพันทาง เรื่องพระลอ บทประนิพนธ์ของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ตอนพระลอลงสรงในแม่น้ำกาหลง ซึ่งท่ารำที่ประดิษฐ์ขึ้นเป็นการนำลีลาท่าฟ้อนทางภาคเหนือมาผสมผสาน
กับท่ารำไทย และดัดแปลงให้เหมาะสมกับท่วงทำนองเพลง แต่เดิมการฟ้อนแพนในเรื่องพระลอนั้น เป็นการรำคนเดียว คือฟ้อนเดี่ยว
ต่อมานางลมุล ยมะคุปต์ ได้นำมาใช้ในการฟ้อนหมู่โดยเพิ่มเติมลีลาการฟ้อนให้มากขึ้น มีทั้งผู้แสดงหญิงล้วน และผู้แสดงชาย – หญิง
โดยมีบทร้องประกอบ ซึ่งประพันธ์โดยพลตรี หลวงวิจิตรวาทการ จัดแสดงครั้งแรกเมื่อครั้งที่โรงเรียนศิลปากร แผนกนาฏดุริยางค์
(ปัจจุบัน คือ วิทยาลัยนาฏศิลป) นำไปเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรม ณ ประเทศ ญี่ปุ่น บทร้อง มี ๒ แบบ คือ แบบเต็ม และแบบตัด แต่ในปัจจุบัน
แสดงแบบไม่มีบทร้อ
รูปแบบ และลักษณะการแสดง
รำตามทำนองเพลงในจังหวะช้า และเร็วในเพลงซุ้มลาวแพน ความงดงามของการรำฟ้อนแพนจะอยู่ที่กระบวนท่ารำที่แสดงความรักระหว่าง
ชาย และหญิง รวมทั้งความสวยงามของการใช้อวัยวะทุกส่วนของร่ายกายให้มีความกลมกลืนกันท่ารำ อาทิ การตีไหล่
การโย้ตัวสำหรับท่ารำในทำนองเพลงซุ้มลาวแพน ซึ่งเป็นช่วงสุดท้ายของการแสดง จะเป็นท่ารำที่มีความรวดเร็ว กระฉับกระเฉง
ทำให้เกิดความสนุกสนาน เพลิดเพลิน และมีการแปรแถวในลักษณะต่าง ๆ
เครื่องแต่งกาย
นุ่งผ้ายกแบบจีบโจงหางปรก (ยืนเครื่องน้อย)
สวมเสื้อแขนสั้น (แบบยืนเครื่องพระ)
ผ้าโพกศีรษะ
ผ้าคาดเอว ผ้าพาดไหล่
เครื่องประดับ ข้อเท้า เข็มขัด สร้อยคอ ต่างหูใส่ข้างซ้าย |
นุ่งซิ่นไหมป้ายข้าง ยาวกรอบเท้ามีเชิงปักดิ้นเงิน
ใส่เสื้อรัดอก ทับด้วยเสื้อแขนสั้น ชายเสื้อติดกรุยเงิน
ผ้าคล้องคอ
เครื่องประดับ เข็มขัด สร้อยข้อมือ สร้อยคอ ต่างหู ผมเกล้ามวย
ติดดอกไม้ และห้อยอุบะ |
ที่มา : http://www.finearts.go.th/performing/parameters/km/item/ฟ้อนแพน.html
กลับด้านบน

เครื่องดนตรีไทย ภาคเหนือ

ซึง จัดเป็นดนตรีประเภทเครื่องดีดเป็นเครื่องดนตรีของล้านนาบรรเลง ด้วยการดีดซึงมีส่วนประกอบที่สำคัญอยู่ 2 ส่วนคือ ตัวซึง สายซึง และไม้ดีด ตัวซึงทำด้วยไม้สัก หรือไม้เนื้อแข็ง ซึ่งแบ่งออกเป็นกะโหลกซึงและคันซึง ส่วนที่เป็นกระโหลกซึงตรงด้านล่างจะตอกหมุด สำหรับผูกสายกลางกระโหลกจะเป็นที่สำหรับพาดสายซึง ตัวกล่องเสียงที่ขุดเป็นโพรง มีช่องเสียงอยู่ด้านหน้ากำหนดระดับเสียงเป็นระยะ ๆ สายทำด้วยโลหะหรือไหมไม้ดีดทำด้วยเขาสัตว์

สะล้อ เป็นเครื่องดนตรีประเภทสี สะล้อมีส่วนประกอบ 5 ส่วน คือ กระโหลก คันสะล้อ ลูกบิด สายละล้อและคันชักกระโหลกทำด้วยกะลามะพร้าวหน้ากระโหลกทำด้วยแผ่นไม้ค่อนข้างบาง กระโหลกสะล้อเจาะเป็นรูปสำหรับสอดใส่คันสะล้อคันสะล้อด้านบนเจารู 2-3 รู สำหรับสอดใส่ลูกบิด สายสะล้อนิยมใช้สายลวดปลายสายด้านล่างผูกยึดไว้กับปลายคันซอด้านล่างคันชักทำด้วยไม้ ขึงด้วยหางม้าเวลาสีมีทวนปักใช้ตั้งกับพื้น (คันชักแยกออกจากตัวสะล้อ)

ตะโลดโป้ด จัดเป็นเครืองดนตรีประเภทตี เป็นกลองสองหน้า รูปร่างทรงกระบอกยาว ทำด้วยไม้เนื้อแข็งหรือเนื้ออ่อนหน้ากลองขึงด้วยหนังโยง เร่งเสียงด้วยเชือกหนัง ถ่วงหน้าด้วยข้าวสุกบดผสมด้วยขี้เถ้า ตีด้วยไม้หุ้มนวม
ที่มา : http://student.nu.ac.th/witawat/wab/ภาคเหนอ.html
กลับด้านบน

สถานที่สำคัญในภาคเหนือ

วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 1929 ในสมัยพญากือนา กษัตริย์องค์ที่ 6 แห่งอาณาจักรล้านนา ราชวงศ์มังราย พระองค์ทรงได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุองค์ใหญ่ ที่ได้ทรงเก็บไว้สักการบูชาส่วนพระองค์ถึง 13 ปี มาบรรจุไว้ที่นี่ ด้วยการทรงอธิษฐานเสี่ยงช้างมงคลเพื่อเสี่ยงทายสถานที่ประดิษฐาน พอช้างมงคลเดินมาถึงยอดดอยสุเทพ มันก็ร้องสามครั้ง พร้อมกับทำประทักษิณสามรอบ แล้วล้มลง พระองค์จึงโปรดเกล้าฯให้ขุดดินลึก 8 ศอก กว้าง 6 วา 3 ศอก หาแท่นหินใหญ่ 6 แท่น มาวางเป็นรูปหีบใหญ่ในหลุม แล้วอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุลงประดิษฐานไว้ จากนั้นถมด้วยหิน แล้วก่อพระเจดีย์สูง 5 วา ครอบบนนั้น ด้วยเหตุนี้จึงห้ามพุทธศาสนิกชนที่ไปนมัสการสวมรองเท้าใน บริเวณพระธาตุ และมิให้สตรีเข้าไปบริเวณนั้น ในปีพ.ศ. 2081 สมัยพระเมืองเกษเกล้า กษัตริย์องค์ที่ 12 ได้โปรดฯให้เสริมพระเจดีย์ให้สูงกว่าเดิม เป็นกว้าง 6 วา สูง 11 ศอก พร้อมทั้งให้ช่างนำทองคำทำเป็นรูปดอกบัวทองใส่บนยอดเจดีย์ และต่อมาเจ้าท้าวทรายคำ ราชโอรสได้ทรงให้ตีทองคำเป็นแผ่นติดที่พระบรมธาตุ
ในปี พ.ศ. 2100 พระมหาญาณมงคลโพธิ์ วัดอโศการาม เมืองลำพูนได้สร้างบันไดนาคหลวงทั้ง 2 ข้าง เพื่อให้ประชาชนขึ้นไปสักการะได้สะดวกขึ้น และกระทั่งถึงสมัยครูบาศรีวิชัย ท่านได้สร้างถนนขึ้นไป โดยถนนที่สร้างนี้มีความยาวถึง 11.53 กิโลเมตร
ที่มา: https://th.wikipedia.org/wiki/วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร
กลับด้านบน