ประวัติ
รำวงมาตรฐาน เป็นการแสดงที่มีวิวัฒนาการมาจาก "รำโทน"(กรมศิลปากร, 2550 : 136-143)
เป็นการรำและการร้องของชาวบ้านซึ่งมีผู้รำทั้งชาย
และหญิงรำกันเป็นคู่ ๆ รอบ ๆ ครกตำข้าวที่วางคว่ำไว้
หรือไม่ก็รำกันเป็นวงกลมโดยมีโทนเป็นเครื่องดนตรีประกอบจังหวะ
ลักษณะการรำและร้องเป็นไปตามความถนัด ไม่มีแบบแผนกำหนดไว้
คงเป็นการรำและร้องง่าย ๆ มุ่งเน้นที่ความสนุกสนานรื่นเริงเป็นสำคัญ เช่น เพลงช่อมาลี
เพลงยวนยาเหล เพลงหล่อจริงนะดารา เพลงตามองตา เพลงใกล้เข้าไปอีกนิด เป็นต้น
ด้วยเหตุที่การรำชนิดนี้มีโทนเป็นเครื่องดนตรีประกอบจังหวะ จึงเรียกการแสดงชุดนี้ว่า รำโทน
รูปแบบการแสดง
รำวงมาตรฐาน เป็นการรำหมู่ประกอบด้วยผู้แสดง 8 คน ท่ารำประดิษฐ์ขึ้นจากท่ารำมาตรฐานในเพลงแม่บท
ความสวยงามของการรำ อยู่ที่กระบวนท่ารำที่มีลักษณะเฉพาะในแต่ละเพลงและเครื่องแต่งกายไทย
ในสมัยต่างรวมทั้งรูปแบบการแสดงในักษณะการแปรแถวเป็นวงกลม การรำแบ่งเป็นขั้นตอนต่าง ๆ ได้ ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 : ผู้แสดงชายและหญิง เดินออกมาเป็นแถวตรง 2 แถว หันหน้าเข้าหากัน
ต่างฝ่ายทำความเคารพด้วยการไหว้
ขั้นตอนที่ 2 : รำแปรแถวเป็นวงกลมตามทำนองเพลงและรำตามบทร้อง รวม 10 เพลง โดยเปลี่ยนท่ารำไปตามเพลงต่างๆ
เริ่มตั้งแต่เพลงงามแสงเดือน เพลงชาวไทย เพลงรำซิมารำ เพลงคืนเดือนหงาย เพลงดวงจันทร์วันเพ็ญ เพลงดอกไม้ของชาติ
เพลงหญิงไทยใจงาม เพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า เพลงยอดชายใจหาญ และเพลงบูชานักรบ
ขั้นตอนที่ 3 : เมื่อรำจบบทร้องในเพลงที่ 10 ผู้แสดงรำเข้าเวทีทีละคู่
ตามทำนองเพลงจนจบ
การแต่งกาย
มีการกำหนดการแต่งกายของผู้แสดง ให้มีระเบียบด้วยการใช้ชุดไทย และชุดสากลนิยม โดยแต่งเป็นคู่ ๆ
รับกันทั้งชายและหญิง ซึ่งสามารถแต่งได้ 4 แบบ คือ
แบบที่ 1 แบบชาวบ้าน
ชาย : นุ่งผ้าโจงกระเบน สวมเสื้อคอพวงมาลัย
เอวคาดผ้าห้อยชายด้านหน้า
หญิง : นุ่งโจงกระเบน ห่มผ้าสไบอัดจีบ ปล่อยผม ประดับดอกไม้ที่ผมด้านซ้าย
คาดเข็มขัดใส่เครื่องประดับ
แบบที่ 2 แบบรัชกาลที่ 5
ชาย : นุ่งผ้าโจงกระเบน สวมเสื้อราชปะแตน
ใส่ถุงเท้ารองเท้า
หญิง : นุ่งผ้าโจงกระเบน สวมเสื้อลูกไม้ สไบพาดบ่าผูกเป็นโบว์ ทิ้งชายไว้ข้างลำตัวด้านซ้าย
ใส่เครื่องประดับมุก
แบบที่ 3 แบบสากลนิยม
ชาย : นุ่งกางเกง สวมสูท ผูกเนคไท
หญิง : นุ่งกระโปรงป้ายข้าง ยาวกรอมเท้า ใส่เสื้อคอกลมแขนกระบอก
แบบที่ 4 แบบราตรีสโมสร
ชาย : นุ่งกางเกง สวมเสื้อคอพระราชทาน ผ้าคาดเอวห้อยชายด้านหน้า
หญิง : นุ่งโปรงยาวจีบหน้านาง ใส่เสื้อจับเดฟ ชายผ้าห้อยจากบ่าลงไปทางด้านล่าง เปิดไหล่ขวา
ศีรษะทำผมเกล้าเป็นมวยสูงใส่เกี้ยวและเครื่องประดับ
ที่มา: http://hilight.kapook.com/view/78920
กลับด้านบน
เครื่องดนตรีไทย ภาคกลาง 
ซอด้วง จัดเป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสี มีส่วนประกอบสำคัญอยู่ 4 ส่วน คือกระโหลก
คันซอ, สายซอและคันชักกระโหลกซอด้วง เป็นรูปทรงกระบอกทำด้วยไม้ประดู่ขึงหน้าด้วยหนังงู
มีช่องเสียงอยู่ด้านตรงข้าม คันชักนิยมใช้หางม้า ซอด้วงมีสองสายทำด้วย
ไหมหรือไนล่อนแต่ปัจจุบันนิยมใช้สายไนล่อน
ซอด้วงมีระดับเสียงแหลมเทียบเสียงเป็นคู่ห้าคือเสียง ซอลกับเร

ระนาดเอก เป็นเครื่องดนตรีประเภทตี ลูกระนาดทำมาจากไม้ไผ่ หรือไม้เนื้อแข็งมประมาณ 21-22 ลูก
ร้อยติดกันเป็นผืนมีขนาดลดหลั่นกัน แขวนไว้กับรางที่มีรูปร่างคล้ายเรือมีขาตั้งติดกับกล่องเสียงใช้ตีด้วยไม้คู่
ได้แก่ไม้แข็งหรือไม้นวมลูกระนาดปรับเสียงสูงต่ำด้วยตะกั่ว ซึ่งผสมขึ้ผึ้งติด
ไว้ข้างใต้ลูกระนาดในสุโขทัยเรียกว่า “พาด”
ขลุ่ย จัดเป็นเครื่องดนตรีประเภทเป่า มีลิ้นทำด้วยไม้สักตัวขลุ่ยทำด้วยไม้รวกปล้องยาว ๆ
เจาะทะลุข้อ แล้วใช้เชือกปอพันให้เป็นลวดลายแล้วเผาไฟให้เชือกปอไหม้
เมื่อเชือกปอไหม้หมดแล้ว ก็จะเกิดลวดลาย ตามที่เราได้พันเชือกปอไว้จากนั้นเจาะรูกลม ๆ
เรียงแถวกัน ๗ รู ระยะห่างประมาณ ๑ นิ้ว ในแต่ละรูปิดเปิดเพื่อเปลี่ยนเสียง
ผู้เป่าขลุ่ยจะใช้ริมฝีปากสัมผัสด้านล่างของลิ้น และเปิดริมฝีปากให้ลมเป่าผ่านเข้าไปในเลา
ในปัจจุบันใช้วัสดุหลายอย่าง เช่น ใช้ท่อเอสล่อน (ท่อปะปา) หรือท่อพลาสติก และไม้แดง
ไม้เต็ง ไม้รัง กลึงให้กลมเจาะรูทะลุ แต่ที่นิยมใช้กันมากและมีเสียงไพเราะจะต้องทำจากไม้รวก
ส่วนวัสดุอื่นจะมีเสียงแข็งไม่พริ้ว
ที่มา: http://bowsouthida.blogspot.com/2015/03/blog-post_71.html
กลับด้านบน

(ผนังที่ 4 ผนังเต็มห้อง เนมิราชชาดก พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพระเนมิ บำเพ็ญอธิษฐานบารมี
เหล่าเทพยดาส่งมาตุลีเทพบุตร นำราชรถทองมารับพระเนมิไปเที่ยวชมเมืองสวรรค์และนรก)
ภาพจิตรกรรมฝาผนังวิหารวัดบวกครกหลวงมีลักษณะของภาพแสดงให้เห็นถึงลักษณะนิยมของท้องถิ่น
ที่มีจุดเด่นที่เป็นภาพเขียนที่ใช้สีสันสดจัดจ้าน
ท่าทีการเขียนภาพของช่างนิยมใช้พู่กันป้ายแต้มอย่างมีพละกำลังแฝงอยู่ภายในด้วย
รอยพู่กันแสดงอารมณ์ที่ลิงโลด คึกคะนอง สนุกสนาน และปาดสีอย่างมันใจเด็ดเดี่ยว
โดยเฉพาะบริเวณส่วนที่เป็นฉากธรรมชาติ เช่น เนินเขา โขดหิน และลำน้ำ
ซึ่งโดยธรรมชาติแล้วสิ่งเหล่านี้ล้วนมีรูปร่างเป็นอิสระ เลื่อนไหล คดเคี้ยว
เมื่อผนวกเข้ากับความต้องการของผู้วาดที่ใช้พู่กันและสีแท้ ๆ สดในอย่างอิสระแล้ว
นับเป็นฉากธรรมชาติที่มีชีวิตชีวา ไม่ดูจืดชื้ดยิ่งนัก
นอกจากนั้นแล้ว วิธีการเน้นความน่าสนใจของภาพจิตรกรรมฝาผนังวัดบวกครกหลวงคือ
นิยมใช้กรอบรูปคล้ายภูเขา ระบายสีพื้นในด้วยสีดำ ขอบนอกเป็นแถบสีเทาและตัดเส้นด้วยสีดำ
ส่วนเส้นนอกกรอบเลื่อนไหลล้อกับรูปนอกของตัวปราสาทด้วย
ที่มา: http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=addsiripun&month=03-04-2012&group=12&gblog=106
กลับด้านบน

|